Welcome to Little Devil Lover Site

We must rely on our own knowledge, not on the dogma of the seekers or the mutterings of the wises"

วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

บทที่ 13

บทที่ 13 ความลับ
ท่ามกลางกองไฟที่ลุกท่วมไปทั่วบริเวณจากการระเบิดของรถยนต์ข้างถนน เฮลินคอปเตอร์ และรถทหารถูกส่งมาครอบคลุมบริวเณ อาจจะมากเกินไปกว่าที่จะเป็นการตอบสนองต่ออุบัติเหตุ ที่ตรงนั้นอาเซรอตต้ากำลังคอยดูแลและสั่งการทุกคนที่อยู่รอบนั้น
“แล้วพบร่องรอยของ”เขา” หรือ”หนังสือ”บ้างไหม” ชายผู้อยู่ในชุดสูทที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้าของทหารเหล่านี้
“ไม่..ไม่มีร่องรอยของทั้งสองอย่าง ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ชั้นแอบตรวจสอบบริเวณรอบๆอยู่ตลอดเวลา ไม่มีปฏิกริยาหรือร่องรอยใดๆแม้แต่น้อย”
“อย่างั้นหรือ” เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูญ ดูเหมือนเขาจะไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก “เราได้รับการยืนยันว่าตอนที่ออกมามีกันทั้งหมด 4คน เป็นพลเรือน3คน และเขาอีกหนึ่ง1คน”
“ขอโทษที่ขัดจังหวะครับ เราได้ผลชันสูตรแล้วครับ” ชายในชุดยาวอีกคนวิ่งมา เขาเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายพิสูจน์หลักฐาน “เราพบศพของชายสองคน คนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคน อีกคนเป็นเด็กอายุไม่เกิน 12ปี และผู้หญิงวัยกลางคนอีกหนึ่งคน ทั้งสามคนเสียชีวิตเนื่องจากถูกยิง ส่วนการระบุตัวยังต้องรอผลพิสูจน์ครับ ส่วนเจ้าหน้าที่ของเราทั้งสองคน พบศพพวกเขาอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 200 เมตร สาเหตุการตายเนื่องจากตัดด้วยวัตถุที่มีความร้อนสูง รอยแผลทั้งมหดถูกเผาจนแห้งสนิท…” ชายในชุดสูตรยกมือบอกให้หยุดการรายงาน
“แสดงว่า”เขา”หนีไปได้สินะ”
“ไม่น่าจะเป็นไปได้ เขาอาจจะหนีไปก่อนที่ชั้นจะมาถึงก็เป็นไปได้”
“ไม่มีทาง ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของความต้องการของเขาแน่นอน” เชาหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดอีกมวล แล้วเขาก็สูดมวลที่เหลืออยู่1/4ของมวลที่เดียวจนหมด ก่อนที่จะพ้นควันออกมายังตรงที่ซากรถกำลังเผาใหม้อยู่
“เป้าหมายของเขาคือการหาผู้สืบทอด”
“แล้วพ่อแม่ลูกอีกสามคนที่ตายนั้นหละเกี่ยวข้องอะไรด้วย”
“ไม่ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับทั้ง Unita อเจนด้า อาร์ค หรือหนังสือใดๆทั้งนั้น”
“แล้วทำไมพวกเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
“แค่โชคร้ายก็เท่านั้น แค่ครอบครัวใจดีที่รับคนขึ้นมาระหว่างทางก็แค่นั้นหละ” เขาอัดบุหรี่เข้าให้เต็มปวดแล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ดวงดาวยังเปล่งประกายอยู่ “ก็แค่โชคร้ายที่เจอกับปิศาจก็เท่านั้น” เหมือนกับดูถูกสวรรค์ที่อยู่เหนือท้องฟ้าเขาพ่นควันบุหรี่สีเทาขึ้นไปยังท้องฟ้านั้น
….ภาพตอนนั้นคือวันอาทิตย์ มีผม เอกาแคทเธอรีน่า และอาเซรอตต้า เราสามคนกำลังวิ่งเล่นกันอยู่ที่ป่าทางตะวันออกของดาเรียส เอกาแคทเธอรีน่ากำลังร้องให้เพราะหกล้มอยู่ ผมกับอาเซรอตต้ารีบเข้าไปปลอบเธอ
“บิสมาค บิสมาค” เอกาแคทเธอรีน่าร้องเรียกชื่อของเขาอย่างต่อเนื่อง
“อย่าร้องสิแคททรี่ ผมอยู่ที่นี่แล้ว” เด็กหนุ่มนั้งลงจับมือของแคททรี่ขึ้นมาโอบอย่างบอบเบา “ไม่เจ็บแล้วนะแคททรี่ บิสมาคขับไล่ความเจ็บปวดไปแล้วนะ” เด็กหนุ่มนั้นดูเหมือนจะกลายเป็นพี่ชายแทน
“บิสมาค บิสมาคอย่าวิ่งไปโดยไม่คอยเต้าดิ แคททรี่กลัวว่าบิสมาคจะหายไปจากแคททรี่” แววตาของเด็กหญิงเริ่มที่จะปล่อยโฮอีกครั้ง
“ไม่ต้องห่วงบิสมาคจะตอยอยู่ข้างๆแคททรี่เอง บิสมาคจะคอยปกป้องแคททรี่ตลอดไปเอง”
“จริงๆนะ บิสมาคจะปกป้องดูแลเค้าตลอดไปจริงๆนะ” แคททรี่มองหน้าบิสมาคด้วยสายตาเปี่ยมความหวัง
“อืม”
“ถ้างั้นเค้าจะเป็นเจ้าสาวให้บิสมาคเอง บิสมาคจะได้เป็นเจ้าชายคอยปกป้องแคททรี่ตลอดไป” หญิงสาวพูดด้วยรอยยิ้มน่ารักเป็นประกาย
แต่แล้วอยู่ๆมงกุฏดอกไม้ก็ถูกนำมาวางใว้บนหัวของบิสมาค อาเซรอตต้าเดินเข้ามาโอบคอของบิสมาคใว้จากข้างหลัง “ไม่ได้ๆ บิสมาคจะต้องเป็นเจ้าสาวของอาเซรอตต้าคนนี้ต่างหาก”
“เห ผมเป็นผู้ชายนะ” บิสมาคทำหน้าเหย
“ไม่เป็นไร พี่คนนี้จะปกป้องและดูแลน้องชายคนนี้เอง” อาเซรอตต้าทิ้งน้ำหนักตัวลงมาใส่บิสมาค ส่วนเอกาแคทเธอรี่น่า ก็อมก้อมป่องด้วยความอิจฉา เธอพยายาที่จะดึงแขนของอาเซรอตต้าออกจากคอของบิสมาค
“ไม่เอา บิสมาคจะต้องเป็นเจ้าชายของแคทเธอรี่น่านะ”
“เจ้าสาวของเอเซรอตต้าคนนี้ต่างหาก หาหาหาหา” เด็กผู้หญิงสองคนแย่งชิงเด็กผู้ชายคนเดียว ผมแอบดีในที่อย่างน้อยผมก็ยังเนื้อหอมอยู่บ้าง แม้ว่าตอนนั้นจะเป็นเด็กก็ตาม
“อย่าทะแลอะกันสิทั้งสองคน บิสมาคจะยอมเป็นทั้งเจ้าชายและเจ้าสาวให้กับทั้งสองคนเอง อย่างทะแลอะกันเลยนะ” เด็กหนุ่มพูดออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย ผมแทบจะเอาหน้ามุดดินที่ตัวเองกล้าพูดคำแบบนั้นออกไป
“จริงๆนะ สัญญานะ” เด็กหญิงทั้งสองพูดออกมาพร้อมกัน
“อืม บิสมาคขอสัญญาว่าจะเป็นเจ้าชายให้กับเอกาแคทเธอรีน่า และเป็นเจ้าสาวให้กับอาเซรอตต้าแน่นอน” เด็กทั้งสามคนเกี่ยวก้อยสัญญากัน”
“ดูเหมือนว่าศึกชิงนาง/นาย จะยุติลง ทั้งอาเซรอตต้าและแคทเธอรี่น่าต่างออกไปเดินเล่นที่ทุ่งดอกทานตะวัน บิสมาคที่นั่งดูอยู่ก็เริ่มที่จะลุกออกไปสมทบกับอีกสองคน
“พี่ชายเป็นไครครับ” ผมในวัยเด็กถามว่าผมเป็นไคร
“พี่ชื่อบิสมาค ตัวของเธอในอนาคตไง” เด็กมันจะเข้าใจไหมก็ไม่รู้
“ไม่ใช่ พี่ชายไม่ใช่ผมทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต และตลอดไป พี่ชายคือไครครับ” ผมถามตัวเองด้วยคำถามเดิมอีกครั้ง
“พี่ชื่อบิสมาค และพี่คือเธอ…”
“ไม่ใช่!!!” เสียงของผมตะคอกปฏิเสษ ………
ภาพแรกที่บิสมาคเห็นหลังจากตื่นขึ้นมาคือเพดานที่เขาไม่ค่อยจะคุ้นตานัก
“ที่นี่ที่ไหนเนี่ย” บิสมาคพยายามที่จะลุกขึ้นเพื่อมองภาพรอบๆ แต่เขารู้สึกว่าแขนของเขาชา และลำตัวของเขาถูกอะไรบางอย่างทับอยู่ทำให้เขาลุกขึ้นไม่ได้
“อืม~~~” เอกาแคทเธอรีน่านอนอยู่ข้างๆเขา เธอนอนก่ายบิสมาคราวกับหมอนข้าง อย่างแนบชิดและแน่นแฟ้งนั้นคือความหมาย 
บิสมาคเกิดอาหารใข้ขึ้นอย่างกระทันหัน เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น ทำไมเราถึงมาอยู่ในสภาพนี้ได้นะ เด็กหนุ่มถามตัวเอง
“อืม อื้ม~~” เอกาแคทเธอรีน่าพลิกตัวปล่อบเขาออกจากการกลายเป็นหมอนข้าง ผ้าห่อมเปิดขึ้นจากการพลิกตัว เผยให้เด็กหนุ่มเห็นเรือนร่างอันงดงามที่มีเพียงชั้นในลายลูกไม้สุดเซ็กซี่
แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นเขาเองก็ใส่อยู่เพียงกางเกงในตัวเดียวเท่านั้น “นี่เราทำอะไรลงไปเนื่ย!” เด็กหนุ่มสับสนพร้อมหวาดกลัวกับเรื่องราวความสัมพันธ์ที่ก้าวกระโดดแบบนี้ 
แต่ดูเหมือนว่าบิสมาคจะขึ้นขึ้นได้ เขาจึงเปิดกางเกงในขึ้นมาดู “รอดตัวไป” ด้วยวิธีที่ไม่อาจระบุได้เด็กหนุ่มรู้ตัวว่ายังไม่ได้ล่วงเกินอะไรเธอไป แต่ทำไมเขาและเอกาแคทเธอรี่น่าถึงมาอยู่ในสภาพนี้ได้ สิ่งเดียวที่เขาจำได้คือ… คือ …...ใช่แล้วเสียงระเบิดและภาพของชายคนหนึ่งพี่พยายามบอกอะไรบางอย่างกับเขา
อีกครั้งที่บิสมาคคิดขึ้นได้ว่าถ้าอาเซรอตต้ากลับมาเห็นเขาในสภาพนี้ เขาคงไม่แคล้วโดนฆ่าทิ้ง หรืออย่างเบาที่สุดคงโดดไล่ออกไปจากที่นี่ และเขาคงต้องร่อนเล่ท่ามกลางอากาศที่หนาวจัดเป็นเวลาอีกเกือบเดือนแน่นอน
บิสมาคค่อยๆปีนข้ามตัวของเอกาแคทเธอรีน่าที่กำลังนอนหลับอย่างสบายออกไป เธอนอนขวางทางลงตัวอย่างพอดิบพอดี
“แคททรี่ เดี๋ยวจะออกไปทำงานแล้วนะ เตรียมอาหารให้ที” เสียงอาเซรอตต้าออกมาหร้อมกับเสียงเปิดประตู …
ภาพที่เห็นไม่ต่างอะไรจากฉากอัมตะในกาตูนที่ชวนเข้าใจผิดอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนมันก็คือชายที่กำลังขึ้นคร่อมผู้หญิงบนเตียง ที่ทั้งสองใส่แต่ชุดชั้นในตัวเดียว
….ตาย ตาย ตาย ตายแน่ ตายแน่ ตายแน่ 1024%...เด็กหนุ่มหยุดนิ่งและแข็งตัวอยู่แบบนั้น พยายามจะหาคำตอบที่ดูดีที่ที่สุดเพื่ออภิบายให้อาเซรอตต้าเข้าใจ
“อืมๆ เข้าใจแล้วๆ” อาเซรอตต้าพยักหน้าเหมือนเข้าใจ ทั้งๆที่บิสมาคไม่ได้พูดอะไร แล้วเดินเขามาใกล้ๆบิสมาค “เมื่อคืนนายสลบไป เอกาแคทเธอรีน่าที่กลับมาก่อนเลยมาเปลี่ยนเสื้อผ้าและดูแลนาย แต่พอเริ่มดึกเข้าหน่อยเธอก็เริ่มที่จะง่วงขึ้นมา เธอจึงเข้ามานอนกับนาย เธอชอบนอนละเมอแล้วถอดเสื้อผ้าของเธออกเอง เมื่อนายตื่นขึ้นในตอนเช้า ด้วยความสับสนและงุงงงนายพยายามที่จะลุกไปที่อีกฝากของเตียง แล้วชั้นก็เขามาพอดี”
บิสมาคพยักหน้าอย่างทราบซึ้งใจ ที่พี่สาวคนนี้เข้าใจทุกอย่าง ถ้าเขาลงถึงพื้นเมื่อไหร่เขาคงต้องมองพี่สาวคนนี้ไหม่สักหน่อยแล้ว
“ฉันเข้าใจนะ แต่….” ท่อนขาของอาเซรอตต้าฟาดเข้ากับใบหน้าเปี่ยมปิติของบิสมาคเข้าอย่างจัง เด็กหนุ่มลอนไปเป็นควงสว่าน
“..ทำไมกัน…” แล้วร่าของเขาก็กระแทกกับโต็ะที่อยู่ห่างออกไป ความเจ็บปวดแทบกระอักเลือดพร้อมความสับสนวิ่งไปทั่วร่าง
“แกจะคร่อมเธอไปอีกนานไหม” พี่สาวพูดขึ้นด้วยความโมโห พร้อมกำหนัดขึ้นราวกับยินดีในชัยชนะของตน
“อื้ม~~เสียงดังแต่เช้าเลย” เอกาแคทเธอรีน่าตื่นขึ้นแล้วขยี้ตางัวเงีย เธอกวาดตามองไปที่รอบห้อง “อรุญสวัสอาเซล อรุณสวัสบิสมาค หาววววววววววว” เธอยืดแขนขึ้นแล้วบิดขี้เกียจ 
บิสมาคที่มองภาพนั้นอยู่ตอนสนองต่อความเป็นชายอย่างสุดซึ้ง เขาจ้องมองเธออย่างไม่ละสายตา
“จะมอง-อะไร-ของแก-นักหนา” ฝ่าเท้าของงอาเซรอตต้าฟาดเข้าใส่บิสมาคตามจังหวะคำพูด เด็กหนุ่มรับฝ่าเท้านั้นเข้าไป แต่ตายังไม่วายมองไปที่สิ่งงดงามที่อยู่ตรงหน้า “ยังไม่หยุดอีก” ครั้งนี้ฟาดเข้าที่ปลายคางของเขาอย่างจัง ส่งเด็กหนุ่มกลับเข้าสู่ความไรสติอีกครั้งหนึ่ง
….ไม่ ไม่พี่ชายไม่ใช่ผม พี่ใช่ไม่ใช่บิสมาค บิสมาคไม่ใช่พี่ชาย บิสมาคไม่ใช่ผม ผมไม่ใช่บิสมาค….
บิสมาคลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง หลังจากยันตัวเองลุกขึ้นแล้วมองสำรวจรอบๆห้อง เขาก็รู้ตัวว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ห้องนั่งเล่นนั้นเอง ดูเหมือนว่าหลังจากที่อาเซรอตต้าซัดเขาสลบแล้ว คงจะแบกเขาลงมาที่นี่ ยังโชคดีที่เขายังไม่ตาย
“อ่าว ตื่นแล้วหรือบิสมาค” เสียงอ่อนหวานของเอกาแคทเธอรีน่าดังขึ้นมาจากในครัว เธอค่อยๆเดินออกมาพร้อมกับหม้อต้มอาหารออกมา “ยังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ท้องคงจะหิวสินะ พอดีของเหลืออยู่ไม่ค่อยมากเลยทำได้เท่าที่มี ช่วยทนหน่อยแล้วกันนะ” เธอยิ้มขณะที่วางหม้อนั้นลงบนโต็ะ
ภาพจากเมื่อเช้ายังคงติดอยู่ในสายตาของบิสมาค เขายังคงอายไม่กล้าที่จะมองหน้าเธอไปอีกสักพัก
“อ้าม~~~” ช้อนที่ดักอาหารยื้นเข้ามาใกล้หน้าของบิสมาคอย่างไม่ทันตั้งตัว
“…….”
“เร็วเข้าเดี๋ยวเราต้องออกไปกันแล้วนะ อ้าม~~~” เธอยังดึงดันป้อนอาหารให้บิสมาค ไม่รู้ว่าเธอจงใจหรือแกล้งทำเป็นไม่สังเกตุความเขินอายของเขา แต่ท้ายที่สุดเด็กหนุ่มก็ยอมกินอาหารนั้นเข้าไป
“อร่อยมากเลยครับ นี่มันเต้าหู้เจี๋ยนบ้วยนี่ครับ สุดยอด” บิสมาคแสดงความพึงพอใจในรสอาหารที่ถูกป้อนเข้าปากอย่างจัง
“เอ้านี่คำตอบต่อไป อ้าม~~”เธอป้อนคำต่อไปให้บิสมาคที่ตอนนี้กินมันลงไปอย่างด บิสมาคเองก็รู้สึกดีทั้งในรสชาติของอาหาร และความรู้สึกของการมีคนป้อนอาหารให้เหมือนกับสามีภรรยาแบบนี้เหมือนกัน
“บิสมาคนี่ชอบเต้าหู้เหมือนเดิมเลยนะ” เธอมองเขาที่เคียวอาหารอย่างมีความสุข
“ครับชอบมาก ชอบมากที่สุดในโลกเลยหละครับ”
“นั้นสิ สมัยก่อนก็กินแต่เต้าหู้เหมือนกับ”มนุษย์เต้าหู้เลยนะ”
“มนุษย์เต้าหู้”คำๆนี้เหมือนกับจะไปกระตุกบางอย่างในตัวของบิสมาคขึ้นมา ภาพความหลังที่รุ่นพี่ของเขาเรียกเขาด้วยชื่อนี้ปรากฏขึ้นมา
“บิสมาคเป็นอะไร หรือว่าอิ่มแล้ว” เธอคงจะสังเกตุเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของบิสมาค
“ป่าวครับ เดี๋ยวผมกินต่อเองครับ แล้วที่ว่าออกไปข้างนอกนี่ไปไหนหรือครับ” บิสมาคขอช้านจากเธอมาแล้วกินเต้าหู้ของโปรดของเขาเข้าไปพร้อมทำสีหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อาเซรอตต้าบอกให้พาเธอไปทำความรูจักกับที่ต่างๆในเมืองนี้หนะ”
“ครับ” บิสมาครีบกินอาหารจนหมด แล้วแต่งตัวออกไปพร้อมกับเอกาแคทเธอรีน่า
เธอนำบิสมาคเข้าสู่ตัวเมืองที่ดูแตกต่างจากบริเวณรอบนอกที่เธอกับพี่สาวอาศัยอยู่ด้วยกัน เอกาแคทเธอรีน่าเดินนำบิสมาตไปตามสถานที่สำคัญต่างๆที่บิสมาคสมควรที่จะรู้จัก เธอยังคงความสดใสของเธอเอาใว้ตลอดระยะเวลา 
เธอเป็นคนที่น่ารัก และเป็นที่รักของทุกคนที่ได้รู้จักเธอ ตลอดเวลาที่เธอเดินไปที่ไหน คนที่รู้จักของเธอมักจะคอยทักทายเธอ และะถามถึงอาเซรอตต้าเสมอ ดูราวกับว่าทั้งเธอและอาเซรอตต้าต่างเป็นคนที่เมืองนี้รู้จักและเคารพเป็นอนย่างดี โดยเฉพาะกับเอกาแคทเธอรีน่าที่เป็นคนที่อัธยาศัยดีคงจะเป็รตัวแทนของอาเซรอตต้าที่ไม่ค่อยจะชอบการเข้าสังคมเท่าไหร่เป็นอย่างดี เพียงแค่เดินไปมาพวกเขาก็ได้ของที่ตามร้ายต่างๆให้มามากพอที่จะใช้ทำอาหารอยู้ได้หลายสัปดาฆ์แล้ว พวกเขาทั้งสองคนเดินออกไปซื้อของอีกเล็กน้อย ระหว่างทางเดินกลับเธอชวนบิสมาคเดินไปสักที่หนึ่งที่เธอต้องการจะไป
“ที่นี่คือ…”
“สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าหนะ เอาหละรีบมาแอบตรงนี้เร็วเข้า” เธอเรียกบิสมาคให้มาหลบอยู่ตรงพุ่มไม้ เพื่อรอดูอะไรบางอย่าง “น่าจะได้เวลาแล้ว”
เสียงกระดิ่งดังขึ้น สักพักเสียงเด็กๆเริ่มที่จะดังขึ้น พวกเด็กๆเริ่มเดินออกมาจากอาคารมายังสนามข้างนอก
“ถ้างั้นชั้นขอตัวก่อนนะคะ” อาเซรอตต้านั้นเอง
“เด็กๆทุกคนขอบคุณคุณครู จีนไมเออร์ ก่อนครูจะกลับด้วยหละ” ผู้ชายสวมเว่นท่าทางยังหนุ่มดูเหมือนจะเป็นผู้ดูแลของที่นี่บอกกับเด็กๆ
“ขอบคุณคะคุณครูจีนไมเออร์” พวกเด็กๆขอบคุณอาเซรอตต้าพร้อมกัน
อาเซรอตต้ายิ้มให้กับเด็กๆเหล่านั้นอย่างอ่อนโยน
“นี่ครับคุณครูจีนไมเออรจีนไมเออร์” เด็กผู้ชายตัวเล็กเดินเข้ามามอบบ้านเล็กๆที่ทำขึ้นมาจากเศษไม้ให้กับอาเซรอตต้า “พรุ่งนี้จะมาอีกไหมครับ”
“ถ้า อเลนทำตัวเป็นเด็กดีพรุ่งนี้ครูอาจจะมาอีกก็ได้นะ” เธอลูบหัวเด็กชายคนนั้นเบาๆ เธอมองไปที่บ้านเล็กนั้นที่ไม่ได้สวยงามอะไร แล้วยิ้มออกมาก่อนที่จะเก็บมันลงกระเป๋า
บิสมาคที่ยืนอยู่ตรงพุ่มไม้ ได้แต่มองดูรอยยิ้มของพี่สาวที่เขาไม่เคยได้เห็น ตลอดเวลาที่เขาอยู่กับเธอเขาไม่เคยจำรอยยิ้มที่มีความสุขแบบนี้ได้แม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่เขาจำได้คืออาเซรอตต้าที่เคร่งขึม ราวกับคนที่กำลังเล่นบอกลากับเด็กๆที่อยู่ตรงนั้นเป็นคนละคนกับอาเซรอตต้าที่เขารู้จัก
(ทำไมตลอดเวลาที่เธออยู่กับเรา ทำไมเธอไม่เคยยิ้มแบบนั้นให้เลย) บิสมาคสงสัยในภาพที่อยู่ตรงหน้า
“อย่าไปรบกวนคุณจีนไมเออร์มากนักสิเด็กๆ คุณครูเขามีธุระนะ”
“ครับ/ค่า” เสียงเด็กๆตอบกลับมา
“ไม่เป็นไรคะ ถ้ามีเวลาฉันก็จะมาคะ” เธอตอบปฏิเสษด้วยท่าทางเกรงใจ
“ขอบคุณมากนะครับ ที่เสียสละเวลามาเพื่อเด็กๆเหล่านี้ ของคุณจริงๆที่ยังมีคนที่ไม่ทอดทิ้งพวกเขา” ชายส่วมแว่นพูดแล้วมองไปราวกับขอบคุณเบื้องบน
“คะ ฉันจะช่วยพวกเขาเท่าที่ฉันจะช่วยได้คะ” เธอบอกลาชายคนนั้นและเด็กๆเหล่า นั้นก่อนที่เธอจะเดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไป
หลักจากการแอบดูอาเซรอตต้าสิ้นสุดลง บิสมาคและเอกาแคทเธอรีน่าเดินกลับบ้านอย่างช้าๆพร้อมกัน แสงอาทิตย์ยามเย็นเป็นสีส้มเริ่มรับขอบฟ้า แต่ใจของเด็กหนุ่มกลับกลายเป็นสีหม่นไปเรียนรอยแล้ว
“ทำไมถึงพาผมไปดูพี่อาเซรอตต้าหละครับ” เด็กหนุ่มที่นิ่งเงียบมาตลอดอยู่ๆถามขึ้นมาท่ามกลางเสียงของสายลมอันเงียบสงบ
“แล้มบิสมาคคิดว่าทำไมพี่ถึงพาเธอมาหละ” เธอถามกลับบิสมาค
“ต้องการให้ผมเห็นวิธีการใช้ชีวิตของพี่หรือครับ”
“นั้นก็ส่วนนึง แล้วเป็นไงหละภาพที่เธอเห็น” เธอคอยคำตอบของบิสมาคอย่างใจจดใจจ่อ
“รอยยิ้มของพี่อาเซรอตต้า ดูมีความสุขและดูงดงามมากเลย เป็นรอยยิ้มที่จริงในและมีความสุขมากจริงๆ เหมือนกับในอดีตตอนนั้น”
เอกาแคทเธอรีน่ายืนอยู่ด้านหน้าของบิสมาค ท่ามกลางดวงอาทิตย์ที่กำลังค่อยตกลง ดูเหมือนเธอจะพอใจในคำตอบของบิสมาค
“แต่...ผมไม่เคยได้เห็นรอยยิ้มแบบนั้นของเธออีกเลย ผม ผม ตลอดเวลาที่ผมอยู่กับเธอเท่าที่ผมนึกออกรอยยิ้มแบบนั้นผมไม่เคยจำได้ว่าเธอเคยยิ้มให้กับผม” บิสมาคขาอ่อนแล้วล้มลงไปคุกเข่ากับพื้นทันที บางอย่าง บางอย่างที่ขาดหายไปกำลังอาระวาดอยู่ในหัวเขา ความเจ็บปวดที่เกิดจากความกลัวบางอย่างกำลังฉีกหัวของเขาออกเป็นชิ้นๆจากข้างใน แม้เสียงร้องก็ยังไม่สามารถเปล่งออกมาได้ ความเจ็บปวดทำให้น้ำตาของเด็กหนุ่มไหลออกมา
“บิสมาค พอแล้ว พอแล้วหละ ไม่ต้องไปพยายามคิดถึงมัน พอแล้ว พอได้แล้ว” เอกาแคทเธอรีน่าเข้ามาโอบกดบิสมาคเข้าใว้แนบอกของเธอ เธอค่อยๆลูบหัวของเขา “พอแล้วหละ ไม่ต้องไปคิดถึงมันแล้ว พอได้แล้วบิสมาค” เสียงของเธอดังอยู่อย่างนั้นอย่างต่อเนื่อง สัมผัสอบอุ่นและเบาสบายค่อยไหลผ่านตัวบิสมาค ความเจ็บปวดและความกลัวค่อยๆลดลงๆ 
เอกาแคทเธอรีน่าค่อยๆประคองบิสมาคที่ตอนนี้หมดสภาพไปยังม้านั้งใต้ต้นไม้ข้างทางเดิน เธอปล่อยให้บิสมาคนอนหนุนตักของเธอ เธอยังคงค่อยลูบหัวของบิสมาคต่อไปอย่างนั้นเรื่อยๆ บิสมาคที่กำลังสงบลงได้แต่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่กำลังมืดลงไปทีละนิดๆ
บิสมาคที่นอนอยู่ตรงนั้นบนตักของเอกาแคทเธอรีน่า มองเห็นดวงดาวที่เป็นสีแดงกระบพริบสลับกับสีขาว เขายื้นมืออกไปเหมือนพยายามจะคว้ามันเองใว้“พี่เอกาแคทเธอรีน่าผมขอถามอะรหน่อยได้ไหมครับ”
“อืมว่ามาสิ” เธอยังมองเขาด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน
“พี่อาเซรอตต้า เค้ายังรักผมอยู่หรือเปล่าครับ”
“ยังไม่กลับกันมาอีกหรือนี่ ไปถเลถไลที่ไหนอีกหละ” อาเซรอตต้าที่เปิดประตูเข้ามาพบกับบ้านช่องที่ยังไม่เปิดไฟ เวลาล่วงเลยมากว่า 3ทุ่มแล้วปกติทุกคนควรจะกลับมาอยู่รอที่บ้านแล้ว ้พราะเธอมักจะเป็นคนที่กลับมาหลังสุดเสมอ
เธอมองไปที่โซฟาที่กลายเป็นเตียงนอนของบิสมาค เธอมีห้องว่างให้กับเขา แค่เขายืนยันที่จะขอนอนที่นี่เอง และเธอก็ไม่เหตุผลอะไรที่จะขัดเขา ที่โซฟานั้นมีเพียงหมอนหนุนเล็กหนึ่งใบ กับผ้าห่มฝืนหนึ่งเท่านั้นเอง
เธอเดินขึ้นไปหยิบเอาผ้าหม่อีกผืนหนึ่งลงมาแทนที่ผืนเก่า “ทำอะไรไม่เรียบร้อยเอาซะเลย” เธอพูดออกมา เธอค่อยดึงผ้าห่มเก่าออกแล้ววางผ้าห่มไหม่ผืนนั้นลงไป น้ำหยดหนึ่งตกลงบนฝ่ามือของเธอ เธอค่อยเอานิ้วปาดเอาน้ำอีกหยดที่กำลังไหลออกมาจากดวงตาของเธอ “หวังว่าคงจะชอบนะ” เธอเอาผ้าห้มผืนเก่าขึ้นไปเก็บให้เรียบร้อย แล้วเธอก็ไปอาบน้ำอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเปลี่ยนมาอยู่ในชุดนอนปกติของเธอ 
“เมื่อวานนี้เวลา***ตามเวลท้องถิ่น เกิดเหตุรถยนต์เสียหลักพลิกคว่ำลงบนทางด่วนสายอากาธ่าจำนวนสองคัน เป็นเหตุให้เกิดไฟใหม้เนื่องจากน้ำมันเกิดติดไฟ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหกรายคือ ******* และก่อให้เกิดไฟไหม้เป็นวงกว้าง แต่ทางเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมสถานะการณ์ใว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ข่าวต่อมา….” ผู้ประกาศข่าวในทรทัศน์ยังคงประกาศข่าวไปเรื่อยๆ ในขณะที่อาเซรอตต้ากำลังนั้งอ่านรายงานผลการตรวจสอบ
เสียงของประตูบ้านถูกเปิดออก เอกาแคทเธอรีน่ากับบิสมาคนั้นเอง ทั้งสองคนกลับมาถึงบ้านแล้ว ทั้งสองคนต่างถือของเต็มมือดูเหมือนว่าคงจะไปซื้อของกันมาเยอะไม่ใช่น้อย
“มัวไปทำอะไรกันอยู่ ทำไมถึงกลับมาช้า” อาเซรอตต้าถามเสียงแข็งกับคนทั้งสอง
“พอดีบิสมาคเขาอยากจะรอซื้อซุปมะเขือเทศของร้านอาบาเร่หนะเลยต้องรอนอนหน่อย ใช่ไหมบิสมาค” เอกาแคทเธอรีน่ากระพริบตาส่งสัญญาณให้บิสมาค
เด็กหนุ่มล้วงเข้าไปในถุงแล้วหยิบเอากระป๋องซุปออกมาให้อาเซรอตต้าดู “อ่า ใช่แล้ว นี่ก็ซื้อมาเผื่อเจ้ด้วยนะ”
“ขอบใจ รีบเอาของไปเก็บได้แล้ว” เธอรับเอาซุปมาจากบิสมาคด้วยท่าทางไม่ค่อยเต็มใจเท่าไรนัก แล้วทั้งสองคนก็เดินเข้าไปในบ้าน เอาของที่อยู่ในถุงไปเก็บให้เรียบร้อย ส่วนบิสมาคที่กำลังเหนื่อยกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นขอแยกตัวไปนอนก่อน ทำให้หญิงสาวทั้งสองคนต้องกลับขึ้นห้องของตัวเองไป
ข้างบนห้องของอาเซรอตต้า เธอกำลังนั่งอ่านหนังสือรายงานอยู่บนเตียงโดยอาศัยแสงไฟจากโคมไฟเล็กข้างเตียง ส่วนเอกาแคทเธอรีน่านอนอยู่ข้างๆเธอ
“วันนี้แสดงอาการอะไรประหลาดๆบ้างไหม” อาเซรอตต้าถามขึ้นในขณะที่เธอกำลังอ่านรายงานช่วงสุดท้าย
“ก็ไม่เห็นมีอะไรหนิ ปกติดีทุอย่าง ไม่เห็นแสดงอาการอะไรออกมา”
“ดีแล้วหละ ถ้ามันแสดงอาการอะไรที่ผิดสังเกตุช่วยแจ้งมาทันทีด้วยหละ ชั้นฝากเธอด้วย” อาเซรอตต้าวางรายงานลง ปิดไฟ และมุดตัวลงในผ้าห่ม
“อาเซล” เอกาแคทเธอรีน่า เรียกเธอด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างออกไป
“หืม มีอะไร”
“สิ่งที่ชั้นจะพูดต่อไปนี้ อาเซลไม่ต้องตอบก็ได้นะ มันเป็นความเห็นแก่ตัวของชั้นเองเท่านั้นหละ”
“อืม ได้สิ ว่ามาเถอะ”
“อาเซล แคททรี่ไม่อยากเห็นเธอต้องเป็นแบบนี้ เมื่อไหร่เธอถึงจะยอมรับความจริงได้ เธอพยายามหนีมันมาตลอด แต่ตอนนี้โอกาศมาถึงแล้ว แม้มันจะเหลือเวลาไม่มากก็ตามที แคทที่ แคททรี่อยากเห็นพวกเธอมีความสุขนะ แต่ไม่ว่าอาเซลจะเลือกทางไหน แคททรี่ก็จะขออยู่สนับสนุนอาเซลแน่นอน” เอกาแคทเธอรีน่าร้องให้อยู่ข้างอาเซรอตต้า
อาเซรอตต้าที่ไม่รู้ว่าจะปลอบเธออย่างไร คงได้แต่ปล่อยให้เธอร้องให้จนหลับไปเท่านั้นเอง สิ่งที่เธอจะตอบแทนได้นั้นไม่มีอะไรมาก “ขอบใจนะ แคททรี่”และนั้นคือสิ่งเดียวที่เธอทำได้
“ไม่เป็นไร ”

บทที่ 12

บทท่ี่ 12 Angelo
ผมกำลังวิ่ง วิ่ง วิ่่งและวิ่ง ลำแสงสีแดงฝ่งมาจากข้างหลังพร้อมปีกอีกหกปีกที่กำลังไล่ตามมาอย่างติดๆ
“ท่านไม่มีทางหลบหนีไปได้แบบนี้ตลอดไป ต่อหน้าประสงค์ของพระองค์แล้วท่านเองก็คือส่วนหนึ่งของของประสงค์ที่ยังไงก็ต้องเกิดขึ้น” อูริเอลยังคงตามหลังผมมาอย่างติดๆ หลังจากที่เขาจัดการกับวาลาด ตรึงวาลาดใว้กับเสาไม้กางเขนทั้ง 4ต้น เป้ามหมายต่อมาก็คือผมที่มองดูสถานะการณ์มาตั้งแต่เมื่อครู่
ผมมองดูทั้งสองต่อสู้กับไปมาอย่างดุเดือด แต่ไม่ว่าทางไหนก็ตาวาลาดที่เสียเปรียบอยู่ตลอด ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ แต่ผมรู้อยู่ตลอดว่าร่างกายของมนุษย์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ไม่ต่างจากมดปลวกเมื่อเทัยบกับอูริเอล แต่ก็ไม่ใช่ว่าด้วยร่างกายนี้ผมจะไม่สามารถเอาชนะอูริเอลได้
ผมวิ่งไปหลบหลังเสาที่หักลงไปจากการจู่โจมของอูริเอล
“ทำไมท่านถึงยังจะพยายาม ทั้งที่ท่านและเราต่างรู้ว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรท่าน ท่านจงกลับมากับเราเสียเถิด ท่านเป็นผู้ที่ฉลาดที่สุดในบรรดาเราทั้งหมด ท่านน่าจะเข้าใจผลลัพธ์ดี”
หอกนับสิบตกลงมีรอบตัวของอูริเอล กลายเป็นกรงขังเทวทูตใว้รองนั้น
“ทุกอย่างนั้นแน่นอนดั่งท่านพูดอูริเอล แต่หาใช่ในอาณาจักรที่สามแห่งนี้”
อูริเอลยกมือขึ้น “ไร้สาระ” หอกทั้งหมดที่กักอูริเอลใว้กระเด็นกระจายออกไปเหมือนไม้ปลิวไปตามภายุ “ทำไมท่านถึงได้ยึดติดกับอาณาจักรแห่งนี้นัก ท่านยังไม่เห็นอีกหรือท่านมองข้ามไปกัน อาณาจักรแห่งนี้นั้นเต็มไปด้วยความวุ่นวายและสับสน ไม่ว่าท่านจะพยายามเท่าไรก็ตามมันก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ทำไมพวกท่านทั้งสองยังคงยึดติดกับอาณาจักรแห่งนี้นัก”
“เพราะนี่คือพระประสงค์ของพระองค์ เราเพียงสนองตอบพระองค์ด้วยความสมัครใจของเรา”
ดาบแห่งแสงนับร้อยพุ่งลงมาจากท้องฟ้า ผมทำได้เพียงต่พยายามหลบแต่ยังคงได้แผลมาอยู่ดี แต่เมื่อผมมองมาดีๆแล้วผมอยู่ตรงกลางของวงดาบ ดาบแห่งแสงเหล่านั้นเริ่มขยับเป็นวงกลมแล้วค่อยๆบีบล้อมเข้ามา
“ท่านหลงลืมไปแล้วหรืออย่างไร พระองค์ทรงมีเพียงแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น” อูริเอลยื่นมือออกมาแล้วกำ พร้อมกับดาบสองที่กำลังหมุนอยู่รอบตัวผมบีบเข้ามารวมกัน 
ท่ามกลางวงดาบนั้นแสงสว่างปราบขึ้นเป็นลำแสงพุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้า ผมที่อยู่กลางลำแสงนั้นทรมานด้วยความเจ็บปวดราวกับดาบนับร้อยนับพันพุ่งเ้ขามาทิ่มแทงทุกส่วนของร่างกายผม ความตายนับครั้งไม่ถ้วยเล่นผ่านร่างกายของผม สมองผใโล่งขึ้นจริงๆเมื่อผมได้สัมผัสกับความเจ็บปวดแบบนี้ ลำแสงนั้นค่อยจางลงเหลือเพียงร่างกายของผมที่ล้มลงไปนอนเพราะความเจ็บปวกมันทำให้กล้ามเนื้อของผมชาไปหมดทั้งตัว
“ท่านกล้ายกคำลวงในนามของพระองค์มาใช้ต่อหน้าเราเชียวหรือ ท่านเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร”อูริเอลตะคอกออกมาอย่างไม่พอใจ สำหรับผู้ที่เห็นพระองค์เป็นดั่งแสงแล้วคำพูดเมื่อครู่นับว่าสมควรที่จะได้รับการตอบแทนที่รุนแรงเช่นนั้น
“เราหาได้เสียสติ แต่เราเสียใจที่ท่านไม่เชื่อเรา ท่านรู้อยู่ว่าเรานั้นรักในพระองค์ไม่ต่างจากท่านแม้แต่น้อย พระประสงค์ของพระองค์เป็นดั่งความฟันของเราเช่นกัน”
“พระประสงค์ของพระองค์คือบัญชาสูงสุดที่เราต้องทำตาม ความภัคดีของท่านเมื่อวันวานสูญหายไปพร้อมกับกระแสเวลแล้วหรืออย่างไร”
“นั้นเป็นพระประสงค์ของพระองค์แน่นอน เจ้าหนุ่ม” วาลาดนั้นเอง ตอนนี้เขาหลุดออกมาจากการตรึงของไม้กางเขนทั้ง 4ได้แล้ว แต่สภาพของเขาก็ไม่ค่อยจะน่าดูนัก กล้าเนื้อฉีกเป็นส่วน เลือดไหลริน ราวกับตัวของเขาคือซากศพเดินได้
“เราประมาทท่านเกินไป ท่านเป็นผู้บัญญัติขึ้นมาเอง ท่านย่อมเป็นผู้ที่รู้จักดีที่สุด” อูริเอลหันหอกในมือเข้าใส่วาลาดอีกครั้ง “ท่านหมายความว่าเช่นไร”
วาลาดเดินเข้ามมาหาผมแล้วกอดคอผมเอาใว้ “ก็หมายความเราทั้งสองกำลังทำตามพระประสงค์ของพ่อเท่านั้นอยู่ไงหละ” อูริเอลเปลี่ยนสีหน้าทัน “โว้ๆๆ อย่าทำหน้าโกรธแบบนั้นสิ ทั้งหมดเป็นพระประสงค์ของพระองค์”
“คำพูดของพวกท่านนั้นมาจากไหนกัน ทุกประสงค์ของพระนั้นตรัสผ่านสภาสูง และเราคือผู้ที่เผ้าอยู่ตรงหน้านั้นตลอด เราคือผู้แจ้งและผู้ทำตามพระประสงค์ของพระองค์ ตลอดเวลาสร้างโลกมานั้นเราคือผุ้ที่จดจำทุกประสงค์ของพระองค์ และคำของพวกท่านนั้นไม่เคยปรากฏ”
คำพูดของอูริเอลนั้นถูกต้อง พระประสงค์ของพระองค์นั้นตรัสผ่านสภาสูง ที่ซึ่งเป็นผู้ตัดสินสรรพสิ่งในทั้ง 3โลก ถือครองแตรแห่งอำนาจ และครอบครองซึ่งตราทั้ง10 ซึ่งทั้งหมดนั้นคือตัวแทนของสิ่งที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาทั้งหมด อูริเอลคือหนึ่งในผู้ที่จะได้รับฟังพระประสงค์ และตลอดมาเขาคือผู้ที่อยู่รับฟังพระประสงค์ของพระองค์ตลอดมา
“เจ้าจะเชื่อหรือไม่ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วหละหนูน้อย แต่สิ่งที่เราทำนั้นคือความปราถนาของตัวเองแน่นอน”
“ท่านพูดเรื่องอะไรของท่าน”
“สักวันท่านจะรู้เองด้วยตัวท่านแน่นอนอูริเอลผู้ซื่อสัตย์”
ดาบที่สร้างจากเลือดของวาลาดก่อรูปร่างขึ้นในมือของผม ผมมอบมันให้กับวาลาดที่ซึ่งในมือของเขาถือซึ่งเปลวไฟพี่ค่อยๆหลอมดาบนั้นขึ้นมา จากเลือดของเขาเองที่บรรจุไปด้วยเปลวเพลิง 
“การสร้างสิ่งที่เลียนแบบงานสร้างสรรคของพระองค์คือการลบหลู่ พวกท่านละเมิดซึ่งกฏของสวรรค์มากเกินไปแล้ว พวกท่านอยู่บนโลกที่สามใบนี้นานเกินไป เช่นเดียวกับชีวิตของอาณาจักรแห่งนี้” 
“เจ้าหนูน้อยเจ้าคงจะไม่เคยเข้าใจ เราตอบสนองต่อพระประสงค์ของพระองค์ ไม่ใช่กฏระเบียบและคำสั่งจากสภา”
ใหหน้าจของอูริเอลเกร็จขึ้นกว่าเดิม เขาเรียกดาบแห่งแสงลงมาอีกครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้เป็นเพียงดาบเล่มเดียว เขายกมันขึ้นมาเทียบใบหน้าแทนคำเคารพ แล้วปักดาบนั้นลงตรงหน้าของอูริเอล
“พวกท่านจงใช้แกนแห่งแสงนี้สร้างอาวุธของพวกท่านขึ้นมา แล้าเราจะแสดงให้เห็นถึงอำนาจแห่งความถูกต้องของพระองค์เพียงหนึ่งเดียว” นั้นคือคำตัดสินของอูริเอลที่มีต่อผมทั้งสอง ไม่มีอะไรที่จำเป็นจะต้องกล่าวต่อไป การต่อสู้เพื่อพิสูจน์ในความถูกต้อง หลังจากนี้ไปอูริเอลจะต่อสู่อย่างเต็มที่จนกว่าที่ผมกับวาลาดจะนอนแน่น่ิงไป
ผมหยิบแกนแห่งแสงออกมาใช้มันประกอบเข้ากับดาบโลหิต และวาลาดหลอมมันเข้าด้วยกัน 
“Santo predicare” วาลาดเรียกชื่อของดาบในมือที่เพิ่งจะถูกสร้าง ใบของดาบนั้นเป็นสีขาวที่สลักลายสีแดงเอาใว้ ดาบเล่มนี้แฝงไปด้วยเปลวเพลิงอันสักสิทธิ
“แล้วอาวุธของท่านหละ หรือท่านคิดว่าท่านยังคงต่อกรกับเราได้ด้วยร่างของมนุษย์”
“เราพร้อมแล้ว”
“Che il Dio sia con voi” เราทั้งสามต่างกล่าวพร้อมกัน
อูริเอลบินขึ้นไปยังท้องฟ้าอีกครั้งเขาลากมือของเขาเป็นวงกลม ปรากฏดเสาหินจำนวนมากผุดขึ้นมาจากพื้นดิน เราต่างพยายามหลบไม่ให้โดนกระแทก แต่ยังไม่ทันที่ทุกอย่างจะสงบ คมดาบแห่งแสงก็พุ่งลงมายังเบื่องล่าง ผมทึบเสาหินให้เป็นโพลงแล้วใช้ช่องนั้นเป็นที่หลบ ส่วนวาลาดวาดดาบป้องกัน 
อูริเอลหายไปจากสายตาเสียแล้ว ผมพยายามมองหาเขา
“ระวัง” เสียงของวาลาดนั้นเอง แต่สายไปแล้วกำแพงหินของผมแตกกระจายตัวของผมกระเด็นออกไปจากแรงกระแทก อูริเอลอยู่ในท่าถือหอกเตรียมที่จะแทงมาใส่ผม 
“อย่าหวัง” วาลาดกระโดดเข้ามาฟาดดาบใว่อูริเอล อูริเอลยกหอกขึ้นมาป้องกัน แรงจากการฟาดดาบของวาลาดส่งให้อูริเอลลอยไปกระแทกกับอีกฝั่งของกำแพง 
วาลาดวิ่งเข้าไปซ้ำเติมต่อทันที แต่อูริเอลกลับแทงหอกออกมาเป็นชุดทำให้ว่าลาดต้องคอยป้องกัน
ผมวิ้งอ้อมไปด้านข้างปามีดออกไปใส่อูริเอล อูริเอลใช่ปีกปัดมีดที่พุ่งเข้าใส่สะท้อนกลับมาหาผม ผมเอี้ยวตัวหลบแล้วจับมีดที่สะท้อนกัลมานั้นปาคืนอูริเอลอีกครั้ง ใบมีดพุ่งผ่านช่องปีกของอูริเอล แต่อูริเอลก็หลบมันได้
….แกรง…. Santo predicare พาดหัวปลายหอกของอูริเอลลงแล้วกดมันไว้กับพื้น วาลาดรีบวาดหมัดเพื่อที่จะชกอูริเอล แต่อูริเอลใช้มืออีกข้างรับหมัดนั้นได้ทัน
อูริเอลยกวาลาดขึ้นแล้วเหวี่ยงเข้าใส่ผมที่กำลังวิ่งเข้ามา ผมกับวาลาดกระแทกกันแล้วนอนกองกันอยู่ตรงนั้น
อาริเอลยกมือขึ้นพลันปรากฏลำแสงฉีกกระชากพื้นดินขึ้นมาเรื่อยๆตามทาง ผมกับวาลาดรีบแยกอกจากกันทันที
แต่นั้นเป็นกับดัก อูริเอลปรากฏต่อหน้าวาลาดที่หลบคลื่นแสงนั้นไป หอกของเขาแทงเข้าไปที่ท้องน้อยของวาลาด แล้วอูริเอลก็รีบดึงหอกออกไปก่อนที่ Santo predicareจะบั่นศรีษะของอูริเอลออก วาลาดเอามือกุมท้องที่เลือดกำลังไหยทะลักออกมา
“พวกท่านแม้จะสูญเสียพลังของเทวทูตไป แต่พวกท่านก็ยังคงเป็นนักรบที่เก่งที่สุดในสวรรค์อยู่ดี” อูริเอลกล่าวชื่นชมศัตรูของเขา คำพูดนั้นแฝงนัยว่าอูริเอลจะไม่ประมาทอีกเป็นอันขาด
ผมเรียกเลือดของวาลาดที่ไหลอยู่เปลี่ยนให้มันกลายเป็นหอกเล็กๆหลายๆเล่ม แล้วให้มันพุ่งเข้าใส่อูริเอล อูริเอลใช้ปีกป้องกันเลือดเหล่านั้น หอกเลือดของผมไม่แข็งแกร่งเท่ากับปีกของอูริเอล หอกเลือดแตกออกกลายเป็นนำ้ติดอยู่บนปีกของอูริเอล
อูริเอลยกมือขึ้น เขาเรียกเสาหินขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ถี่มากกว่าเดิมผมกับวาลาดกันวุ่น กว่าเราจะรู้ตัวเสาหินเหล่านั้นก็ล้อมกรอบเราเรียบร้อยแล้ว อูริเอลตั้งที่เตรียมแทงหอกก่อนจะพุ่งตัวเข้ามาตามแนวหินที่สร้างเอาใว้
วาลาดเอา Santoรับเอาใว้แต่พลังของอูริเอลนั้นมากมายนักเท้าที่ปักหลักอยู่ของเขาค่อยถูกแรงนั้นดันถอยเข้ามาทีละนิดๆ ไม่นานเราสองคนถงถูดแรงนี่บดเข้ากับกำแพงแน่ ผมไม่มีทางเลือกมากนัก 
ผมใช้มือเปล่าๆนี่ชกหินที่ปิดทางอยู่มันไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองเสา แต่ประมาณ 5เสาแล้วยังไม่เห็นทางออก ผมยังคงชกต่อไปจนกระดูดของผมโผล่ออกมาแทนหนังที่หลุดออกไปแล้ว อูริเอลไม่รอช้าเพิ่มแรงเข้ามาทันที วาลาดต้านไว้ไม่อยู่แล้ว แรงกระแทกของอูริเอลอัดกำแพงเสาหินหักออกไปจนหมดท้นที
ผมที่ลากเอาวาลาดหลบการบดขยี้ของอูริเอลออกมาด้านข้างตามช่องหินรีบเตรียมตั้งรับการโจมตีระรอกต่อไป แต่ว่าทุกอย่างกลับหยุดนิ่ง ไม่มีเสียงหรือเงาของอูริเอล
“จงรับเอาความเมตตาของพระองค์ ขอให้พระองค์จงิภัยพวกเจ้า peccatore verita” อูริเอลผู้กางปีกทั้งหกปกคลุมภาพท้องฟ้าและดวงจันทร์เบื้องบนเงื้อมหอกของเขาขึ้น แสงสว่างทุกอย่างหายไป เหลือเพียงแสงที่ส่องออกมาจากหอกสีแดงหอกนั้น อูริเอลวางหอกนั้นใว้บนอากาศ หอกนั้นค่อยๆเคลื่อนตัวลงมาหาพวกผมอย่างช้าๆ
แรงกดันมหาสารค่อยๆเคลื่อนตัวลงมาหาผมเรื่อยๆ เสาและอาหาศค่อยถูกกดลงมาเรื่อยๆตานระยะทางที่หอกนั้นค่อยๆลอยลงมา ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องถูกแรงนั้นกดลงจนสูญสลายไปในที่สุด 
“วาลาด ผมขอฝากเรื่องที่เหลือกับคุณด้วยนะครับ” 
“ครั้งนี้ถือเป็นการทดแทนหนี้ของนาย เมื่อครั้งสงครามบนสวรรค์ แล้วเจอกันไหม่”
รังสีของ Santo predicare ดับมอดลงไป วาลาดเก็บมันเอาใว้ข้างลำตัวของเขาแล้วยืนออกห่างจากตัวผม ใบหน้าของวาลาดในตอนนี้แม้ภายใต้ฝุ่นผงผมก็สามารถบอกได้ว่าใบหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยความสุข 
ผมยืนขึ้นมองไปที่เสาและอากาศที่ค่อยๆถูกกดลงมา ผมกางมือออก ผมเตรียมใจเรียบร้อยแล้ว เพื่อผู้ที่ยังอยู่ข้างหลังมันไม่มีวิธีที่มากนัก ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรก็คงต้องเดิมพันกับสิ่งเหล่านี้เท่านั้น ทั้งผมและวาลาดอาจจะไม่สำเร็จและต้องอยู่รอดูทุกอย่างสูญสิ้นไป แต่ผมก็อยากจะให้ประสงค์ของพระองค์เป็นจริง
“cielo e abisso” ผมเรียกชื่อของความหวังสุดท้ายออกไป ร่างหายของผมเปล่งประกายไปด้วยแสงสีขาวของจิตวิญญาณ จิตเหล่านั้นค่อยๆกระจายตัวลงไปยังพื้นดิน ตัวของผมนั้นรู้สึกราวกับวิญญาณนั้นหลุดลอยออกจากร่างผมไปครั้งแล้วครั้งเล่า
จากพื้นดินค่อยๆก่อร่างขึ้นมาเป็นเสาสี่เสา ทั้งสี่เสาค่อยๆยืดยาวขึ้นไปบนท้องฟ้า มันเข้าไปปะทะกับแรงกดของหอกของอูริเอล และค่อยๆดันหอกนั้นออกไปจากพื้นดิน
“ในที่สุดท่านก็เปลี่ยนใจแล้วสินะ” อูริเอลดีใจที่วัตถุประสงค์ของเขาในการนำประตูสวรรค์กลับมาสำเร็จ “ความร่วมมือของท่านทำให้เราแน่ใจว่าสวรรค์ยินดีที่จะให้ท่านร่วมด้วยแน่นอน”
“อูริเอล เราต้องขอโทษท่านด้วย แต่ทั้งหมดนี้เรายังทำไปโดยเป้าหมายของเรายังคงเดิม และยังคงเป็นไปตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า”
“ท่านว่าเช่นไรนะ….”
“อาเทมิส”
ลำแสงสีฟ้าพุ่งผ่านท่องฟ้าลงมายังตำแหน่งที่ผมและอูริเอลอยู่ พลังของวิทยาศาสตร์ที่มนุษย์คิดค้นขึ้น พลังงานมากกว่า 10 จิกะวัตว์ถูงส่งลงมาจากนอกชั้นบรรยากาศของโลก ไม่ใช่เป็นเพียงแค่พลังงานความร้อน แต่ด้วยความหนาแน่นของมันทำให้มันมีมวลสารมากพอที่จะส่งแรงกระแทกลงมาด้วย 
ในเสี่ยววินาที่”อาฌธมิส”กระแทกลงกับอูริเอล พลังแรงกดดันทั้งหลายสูญสลายออกไป สิ่งต่อไปที่จะโดนกระแทกตามลงมานั้นก็คือตัวของผมที่อยู่ตรงนั้น ผมรีบเข้าไปหาอูริเอลโดยใช้สื่อกลางของผม
“อูริเอล ท่านยังตายไม่ได้ เราไม่สามารถปล่อยให้ท่านผู้เป็นตัวแทนที่บริสุทธิที่สุดต้องสูญเสียไปได้ ท่านจะต้องอยู่ต่อไป”
“ท่านหมายความว่าเช่นไร ท่าน….”
ผมมอบพลังทั้งหมดเท่าที่ผมมีอยู่ สร้างพลังในการปกป้องอูริเอลเอาใว้ แม้ว่านั้นจะไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาปลอดภัย แต่ก็พอจะทำให้มั่นใจได้ว่าเขาจะต้องรอด ชั่ววินาที่ต่อมาผลของลำแสงสีฟ้าที่ยิงมาจาก”อาเธมิส”เริ่มเห็นผล พลังงานจลจำนวนมหาศาลถูกปลดปล่อยออกมา ทุกสิ่งทุกอย่างในบริเวณรอบๆนั้นถูกทำลายด้วยคลื่นแรงสั่นมหาศาล ทุกอย่างถูกเผาใหม้และทำลายลงจนไม่มีชิ้นดี ทุกอย่างที่เป็นหลักฐานในการมีอยู่ของการต่อสู้ครั้งนี้จะหายไปทั้งหมด 
เมื่อมองดูอูริเอลที่อยู่ภายใต้การคุ้มคลองของผมแล้วทำให้ผมนึกถึงบางคนขึ้นมา 
หนึ่งนั้นคือคนที่ผมเรียกว่าเพื่อนที่ยังคงมีชีวิตอยู่ พวกเขาแต่ลคนต่างมีเหตุผลที่ทำให้เขาเป็นอย่างปัจจุบัน ผมทั้งสร้างและทำลายบางคนชีวิตของพวกเขา เมื่อถึงเวลาที่ความจริงปรากฏพวกเขาจะนับผมเป็นเพื่ออีกหรือไม่
ลาทูนี่ ลุกสาวและอดีตคนรักของผม ผมรู้ว่าผมเป็นความรักครั้งแรกของเธอ และผมก็คือคนที่เธอคอยตามหามาตลอด ผมเคยทอดทิ้งเธอเอาใว้กับแม่ของเธอ และผมทอดทิ้งเธอให้เธอต้องรอคอยผม และนี่เป็นอีกครั้งที่ผมทอดทิ้งเธอไป
และท้ายที่สุดคือเธอ เพเรสซ่า อนิมา ผู้หญิงที่ทั้งชีวิตของเธอต้องกลายเป็นแบบนั้นเพราะความเห็นแก่ตัวของผมเอง และผมยังคงหลอกใช้เธอแบบนี้ต่อไป เธอเป็นสิ่งที่บริสุทธิที่สุดที่มีอายุอยู่ และเธอเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปดเปื้อนในเวลาเดียวกัน 
ความคิดของผมในเวลานี้วนเวียนอยู่เพียงเรื่องไม่กี่เรื่องที่ผมอยากจะจัดการให้เสร็จ แต่ตอนนี้คงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว ผมคงต้องขอให้พวกเขาทรมานอย่างนี้ต่อไปอีกสักพัก และเมื่อเวลานั้นมาถึงทุกอย่างจะสิ้นสุดลงด้วยมือของผมเอง
…….จบบทนำ การเริ่มต้น…….